ปาฏิหาริย์เรื่องเล่า พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์

กิตติศัพท์ชื่อเสียงของพ่อท่านคล้ายนั้น โด่งดังในหลาย ๆ ด้าน ด้านหนึ่งที่ประจักษ์เด่นชัด จนกลายเป็นฉายาต่อท้ายชื่อของท่าน ก็คือความเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์ วาจาชัย เล่ากันว่าท่านกล่าวเช่นไรมักจะเป็นเช่นนั้น ราวกับว่าเป็นนักพยากรณ์ผู้อัจฉริยะ

ครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ชื่อเสียงของท่านระบือสนั่น ๗ คาบสมุทร ดังข้ามประเทศเลยก็ว่าได้ เห็นได้จากชาวพุทธในประเทศมาเลเซียยังเลื่อมใสศรัทธา ถึงกับนิมนต์ท่านให้เดินทางไปยังปีนัง อยู่บ่อยครั้ง

หรือแม้กระทั่งพวกแขกต่างศาสนา ยังเกิดความเลื่อใสศรัทธา ช่วยกันบริจาคทรัพทย์สร้างปูชนียสถานคือ พระพุทธไสยาสน์ไว้เป็นอนุสรณ์สถานที่ วัดชัยมังคลาราม หรือ “วัดปลุลอติกุด” ตามภาษามาเลย์ วัดนี้อยู่ที่ เกาะปีนัง

พ่อท่านคล้ายนั้น นอกจากจะมีชื่อเสียงเรื่องวาจาสิทธิ์แล้วเรื่องความเมตตาต่อชนทุกหมู่เหล่าไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ท่านถือปฏิบัติพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นธรรมข้อสำคัญในการดำรงชีวิต

และยังได้ชื่อว่าเป็น “หมอเทวดา” สามารถรักษาอาการป่วยไข้ที่หมอทั่วไปรักษาไม่ได้ให้หายขาดได้อย่างน่าอัศจรรย์ท่านรักษาด้วยพลังจิต โดยการอาบน้ำมนต์แผ่เมตตาให้ และใช้ยาสมุนไพรได้หายชงัด จนชาวบ้านทั่วไปยกย่องท่านเป็น “เทพเจ้าของชาวฉวาง” ไม่เพียงเท่านี้ พ่อท่านคล้ายยังเป็นพระนักพัฒนา นำความเจริญต่าง ๆ มาสู่ท้องถิ่น และพระพุทธศาสนาไม่น้อยทีเดียวจนไม่สามารถรวบรวมนำมาบอกกล่าวเล่าแจ้งได้หมดสิ้น ทั้งที่เกี่ยวกับศาสนสถาน และที่เป็นสาธารณประโยชน์ทั่วไป

อิทธิปาฏิหาริย์ “พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์” เทพเจ้าแดนทักษิณ

ก่อนอื่นต้องขอแนะนำบุคคลสำคัญผู้นำเรื่องราวเหตุการณ์ “สิ่งเหนือโลก” ที่ประสพพบมากับตัวเองจริง ๆ ไม่ได้ยกแม่น้ำทั้งห้ามากล่าวอ้างแต่ประการใด มาถ่ายทอดให้ฟังท่านคือ สามเณรวีระยุทธ สุดใจ

สามเณรวีระยุทธ บรรพชาที่วัดสามัคคีนุกูลก่อนจะย้ายมาอยู่ที่วัดสวนขัน โดยเจ้าอาวาสวัดสวนขันคือ “พระครูกิตติวิมล” มีศักดิ์เป็นตา ด้วยเหตุนี้เอง สามเณรวีระยุทธจึงได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลรักษาความสะอาดเรียบร้อยภายในมณฑลปประดิษฐานรูปเหมือนของพระเดชพระคุณพ่อท่านคล้ายหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “หอไตร” ภายในหอไตรนั้น จะมีโอ่งน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่เบื้อหน้ารูปเหมือนของพ่อท่านคล้าย และทุกครั้งที่น้ำมนต์ในโอ่งหมดสามเฌรวีระยุทธจะเป็นผู้ขนน้ำใส่จนเต็ม จากนั้นจะห่อจีวรเข้าไปในหอไตร จัดการปิดประตูหน้าต่างทุกบาน ก่อนจุดเทียน ๙ เล่ม ที่ปากโอ่ง และจุดธูป ๙ ดอก พร้อมตั้งจิตอธิษฐานภาวนาว่า “อิติปิโส พาหุง มหาการุณิโก” จนจบ และกล่าวอธิษฐานถึงดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของพ่อท่านคล้ายว่า

“ขอให้พระเดชพระคุณพ่อท่านคล้ายจงช่วยปลุกเสกน้ำมนต์ในโอ่ง เพื่อญาติโยมผู้มีจิตเลื่อมใสในหลวงพ่อจะได้เอาไปใช้” ปากว่าไปพลางทั้งหลับตาปี๋ เมื่ออธิษฐานจบก็ลืมตาขึ้น สิ่งที่ไม่อยากเชื่อสายตาตนเองปรากฏอยู่ตรงหน้า คือเห็นพ่อท่านคล้ายยืนอยู่ข้างเตียงเก่าของท่านที่คงเก็บรักษาเอาไว้ภายในหอไตร ในครั้งแรกสามเณรวีระยุทธไม่เชื่อสายตาตนเอง จึงใช้มือขยี้ตาดูสองสามครั้ง แต่ภาพของพ่อท่านคล้ายก็คงปรากฏอยู่ตรงหน้า ดังนั้นสามเณรวีระยุทธจึงคลานเข้าไปกราบที่เท้าของท่าน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองพบว่า พระเดชพระคุณพ่อท่านคล้ายยิ้มให้อย่างเมตตา แล้วร่างของท่านก็ค่อย ๆ หายไปในที่สุด

“นับเป็นครั้งแรกในชีวิตของข้าพเจ้าเลยก็ว่าได้ ที่ได้พบพระเดชพระคุณพ่อท่านคล้าย เพราะข้าพเจ้าเกิดไม่ทัน” สามเณรวีระยุทธกล่าว


“อิสลามก็ยังไหว้”

ครั้งนั้นประมาณเดือนตุลาคม แต่วันที่เท่าไรจำไม่ถนัดนัก มีผู้หญิงคนหนึ่งนับถือศาสนาอิสลามได้เล่าให้ฟังว่า ตนเป็นหัวคะแนนให้กับ อบต. ที่จังหวัดภูเก็ต และที่สำคัญสามารถหาคะแนนเสียงได้ดีเสียด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น ฝ่ายตรงข้ามจึงจ้างวานมือปืนมาเล่นงาน หมายเด็ดหัวให้ดับดิ้นสิ้นชื่อเลยทีเดียว ตนก็พอจะทราบระแคะระคาย ครั้งตกดึกในคืนนั้น ตนได้พบเห็นร่างของพระภิกษุสงฆ์องค์หนึ่ง และพูดกับตนว่า

“ขอให้ลูกไปหาพ่อที่วัดสวนขัน นำดอกบัว ธูปเทียนไปด้วย แล้วลูกจะสิ้นทุกข์สิ้นภัย ไปถึงก็เข้าไปนั่งสมาธิในหอไตร”

เมื่อพูดจบร่างนั้นก็หายไป พอเช้าวันรุ่งขึ้น ตนนึกได้ว่ามีเพื่อนอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงเดินทางมาหาเพื่อนเพื่อให้พาไปยังวัดสวนขัน และได้พบกับสามเณรวีระยุทธ ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ศาลาอนุสรณ์ 120 ปี พ่อท่านคล้าย พอดี

สามเณรวีระยุทธ กล่าวต่อว่า หญิงอิสลามคนดังกล่าว ได้จุดธูปเทียนนมัสการรูปเหมือนพระเดชพระคุณพ่อท่านคล้ายจากนั้นเข้าไปนั่งสมาธิในหอไตรอยู่นานพอสมควรเมื่อกลับออกมาข้าพเจ้าและโยมแม่ชีผู้อยู่ประจำศาลาได้เอ่ยถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ? รู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ย ? หญิงอิสลามก็ตอบว่า เห็นพ่อท่านคล้ายยิ้มและยังกล่าวว่า “สิ้นเคราะห์สิ้นภัยนะลูกนะ”


“พ่อท่านคล้ายอยู่สวนขัน”

ในเดือนเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เพิ่งกล่าวมา มีตำรวจ 2 นายเดินทางมายังวัดสวนขัน นายตำรวจทั้งสองที่ว่านี้ เป็นผู้มีความรู้ทางด้านไสยศาสตร์ กล่าวคือ เป็นร่างทรงของท้าวเวสสุวรรณ และทั้งสองเล่าแจ้งถึงจุดประสงค์ที่มาในครั้งนี้ให้สามเฌรวีระยุทธฟังว่า พ่อท่านคล้ายได้ไปเข้าฝัน ทั้งบอกกับตนว่า

“ถ้าจะทำบุญร่วมกับท่านให้มาทำยังวัดสวนขัน เพราะท่านจะไม่อยู่ที่อื่น เดือนนึงมี ๓๐ วัน ท่านจะอยู่ที่วัดสวนขันเสีย ๒๐ วัน นอกนั้นท่านจะไปดูแลตามที่ที่มีรูปเหมือนของท่านตั้งบูชาอยู่”

สามเณรวีระยุทธได้ยินได้ฟังดังนั้นจึงเชื่อว่า ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระเดชพระคุณพ่อท่านคล้ายยังคงอยู่ที่วัดสวนขัน เพราะประสบพบมากับตัวเองเช่นกัน ?


“ทุกคนมีกรรม”

เล่ากันว่าคราวหนึ่ง พระเดชพระคุณพ่อท่านคล้าย กำลังนอนเอกเขนกพักผ่อนอยู่บนศาลาหลังเตี้ยยกพื้นสูงสักแค่หัวเข่ารอบ ๆ ศาลาเป็นลานทรายกว้าง มีหญิงชายนั่งจับกลุ่มคุยกันในเรื่องสัพเพเหระ สักพักได้วกมาพูดเรื่องพระภิกษุรูปหนึ่งที่เป็นสมภารเสียด้วย เรื่องเพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ คงเป็นอาหารปากอันโอชะของชาวบ้าน เรื่องมีอยู่ว่าพระรูปนั้นเกิดไปทำอาบัติปาราชิกกับศิษย์สาว จนเกิดท้องเกิดไส้ขึ้น เป็นธรรมดาเมื่อคนนี้เอ่ยคนนั้นรับกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยพ่อท่านคล้ายนอนฟังอยู่นาน ก็พรวดพราดยันกายขึ้นนั่ง แล้วพูดเสียงดังฟังชัดเป็นภาษาใต้ว่า

“เฮ พวกสูอย่าดีแต่เอาเรื่องของคนอื่นมาพูด มาวิจารณ์กันนักเลย หามีใครอยากชั่วอยากเลวไม่ แต่เพราะกรรมบันดาลจะทำอย่างไรได้ ทุกคนมีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่ง ทำกรรมดีก็ได้ดี ทำกรรมชั่วก็ได้ชั่ว ถึงตัวกูเองก็ไม่แน่ดอกนะ กรรมมาถึงเมื่อใด อาจแรงเสียยิ่งกว่า (สมภารผู้นั้น) ก็ไม่แน่นา” ทำเอาชมรมนินทาต่างคนต่างก้มหน้าเงียบ!!

“แคล้วคลาดอันตราย”

เมื่อครั้งสร้างโรงธรรมศาลาหลังใหญ่ที่หลวงพ่อเดชเป็นผู้ริเริ่มสร้าง และต่อมาถูกวาตภัยถล่มจนพังทลายไปเมื่อปี ๒๕๐๕ ในครั้งนั้นเสาไม้หลักที่ใช้ก่อสร้างขนาดหน้ากว้างสัก ๑๕ นิ้ว ยาวกว่า ๘ เมตร ลองหลับตานึกภาพดูสิว่าจะมีน้ำหนักสักเท่าไร ? และต้องใช้กำลังคนกี่ร้อยคน ถึงจะยกขึ้นตั้งเป็นแนวตรง ? ต้องใช้เชือกผูกปลายเสาหลายเส้นเพื่อพยุงขึ้น ขณะที่เสาเกือบจะเข้าที่เข้าทาง สิ่งที่ไม่คิดไม่คาดฝันก็อุบัติขึ้นคือ เชือกที่ใช้พยุงเสาเกิดขาดพร้อมกัน เสียงเสาล้มฟาดพื้นโครม! สนั่นหวั่นไหว กลางหมู่คนจำนวนนับร้อย นึกแล้วขนพองสยองเกล้า คนคงถูกทับแบนแต๊ดแต๋ตายเป็นเบือ? คุณพระช่วยกลับไม่มีใครได้รับอันตรายแต่อย่างใด เมื่อหายจากอาการปากอ้าตาค้าง ต่างก็ยกมือขึ้นสาธุท่วมหัวเมื่อเห็นพ่อท่านคล้ายยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้า เพราะเชื่อว่าด้วยความเมตตาและบารมีของท่านที่ช่วยให้รอดตายในครั้งนี้


“แม้แต่ฝนยังรู้ภาษา”

มีอยู่คราวหนึ่ง ชาวบ้านสวนขันและคณะครูได้นำกฐินไปทอดยังวัดมะปรางงามโดยการนำของครูช้อง พร้อมทั้งนมัสการนิมนต์พ่อท่านคล้ายไปด้วย หลังจากที่ถวายกฐินอนุโมทนาเสร็จเรียบร้อย ราวสักบ่ายสามโมงเห็นจะได้ จึงยกขบวนเดินทางกลับโดยใช้เก้าอี้เป็นพาหนะให้พ่อท่านคล้ายนั่งแล้วช่วยกันหาม ขณะนั้นฝนกำลังตั้งเค้าจะตกมืดฟ้ามัวดิน จึงพาพ่อท่านคล้ายกลับเข้าไปพักหลบฝนเสียในวัด แต่ท่านกลับบอกว่า “ไม่เปียกดอก กลับกันเถิด” ยังไม่ทันขาดคำฝนก็เทลงมาและตกไล่หลังขบวนมาติด ๆ หลายครั้งหลายคราที่จะพาท่านหยุดพักหลบฝนในบ้านคนข้างทาง แต่ท่านก็ยืนกราน “ไปเถิด ๆ ไม่ถูก ๆ” พวกที่มาด้วยกันทั้งหมดจึงตัดสินใจว่าเปียกเป็นเปียก เมื่อท่านอยากเปียกฝนก็ยอมเปียกด้วยกัน อาบน้ำฝนให้สนุกกันสักทีจะเป็นไรไป ฝนตกหนักบ้างเบาบ้างไล่หลังมาตลอด ห่างกันสักวาสองวา พ่อท่านคล้ายนั่งยิ้มหันไปมองฝนพรางบอกว่า “ไม่ถูก ไม่ถูก” ขบวนมุ่งหน้ามาตามทางหลวงเศลาใต้ ลัดเลาะตัดเข้าบ้านยางยวนข้ามคลองระแนะ ผ่านมาถึงบริเวณปากทางเข้าวัดใต้หรือวัดราษฎร์บำรุง ที่หลวงพ่อเริ่มลูกศิษย์ของท่านเป็นเจ้าอาวาสพ่อท่านคล้ายก็เอ่ยขึ้นว่า “แวะพักกันที่วัดคุณเริ่มก่อน ฝนมันเต็มกลั้นแล้ว” จึงพากันเข้าไปพักในโรงครัวของวัดใต้ คราวนี้เองฝนซึ่งตกไล่หลังมาตั้งแต่มะปรางงามเหลืออดเหลือกลั้นแล้วจริง ๆ ก็เทลงมาอย่างรุนแรง ชนิดที่ว่าหลังคาสังกะสีแทบจะทะลุ

ช่างอัศจรรย์ดีแท้ แม้แต่ฝนแม้แต่ธรรมชาติยังสื่อภาษาได้ หรือคุณจะว่าอย่างไร?


“เสกใบมะขามเป็นนกกระยาง”

นายกระจ่าง ธราพร (เพิ่งเสียชีวิตเมื่อปี ๒๕๔๑ นี่เอง) เล่าให้ฟังว่า ในสมัยที่แกยังหนุ่ม ๆ ที่วัดสวนขันจะมีพระภิกษุสามเณรเยอะเป็นพิเศษ เพราะใครต่อใครก็อยากมาบวชที่วัดสวนขัน วัดพ่อท่านคล้ายในแต่ละวันพ่อท่านคล้ายจะให้สามเณรช่วยกันถากถอนหญ้าที่ขึ้นรกในบริเวณวัด และให้พระภิกษุกวาด ซึ่งจะมีโยมชาวบ้านมาร่วมในกิจกรรมดังกล่าวด้วย และหนึ่งในนั้นก็คือนายกระจ่าง เรื่องมีอยู่ว่า ขณะที่นายกระจ่างกำลังกวาดขยะอยู่นั้นเห็นพ่อท่านคล้ายเดินยิ้มเข้ามาหา และเอ่ยปากบอกว่า “ไปเก็บใบมะขามมาสักกำมือ ฉันจะทำอะไรให้ดู” เมื่อนายกระจ่างนำใบมะขามใส่มือพ่อท่านคล้าย ท่านก็ยืนหลับตาบริกรรมคาถา แล้วบอกว่า “ดูดี ๆ นะ” พระเดชพระคุณพ่อท่านคล้ายก็โปรยใบมะขามที่อยู่ในกำมือ นายกระจ่างแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง ใบมะขามกลายเป็นนกกระยางบินร่อนเต็มวัดอย่างเหลือเชื่อ!! (Cr.พุทธาคม ปาฏิหาริย์อำนาจบุญ อริยะเหนือโลก)


เรื่องมีอยู่ว่า… นางถนอม ชาวบ้านธรรมดาๆ เป็นลูกผู้ใหญ่บ้าน ชื่อ นายทอง จงจิต ได้ซื้อสวนยางมา แปลงนึง มีบ้านอยู่ด้วย ๑ หลัง ซึ่งบ้านหลังนี้ได้ปลูกอยู่บนจอมปลวกที่ถูกขุด ทำลายไปแล้ว ก่อนซื้อบ้านหลังนี้ นางถนอมไม่ทราบเรื่องมาก่อน แต่มาทราบในภายหลัง นางถนอมจึงได้ไหว้วานให้นายเจิม มณีมาส ปลัดอำเภอฉวาง ซึ่งเป็นญาติกัน ให้ไปนิมนต์พ่อท่านคล้ายไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้านหลังนั้น และเมื่อถึงวันงานทางเจ้าภาพก็ได้ไปนิมนต์พระอธิการนาค เจ้าอาวาสวัดหลักช้าง และพระวัดจันดีไปด้วย


เมื่อเจริญพระพุทธมนต์จบแล้ว พระรูปอื่นได้กลับวัดไปก่อน ส่วนพ่อท่านคล้ายได้ถูกนิมนต์ให้จำวัดที่ใต้โคนต้นยางพาราในสวน ส่วนพระอธิการนาคก็กางมุ้งนอนข้างๆกับท่าน พอตกดึกฝนทำท่าว่าจะตก มีลมพัดแรง พ่อท่านคล้ายก็บอกว่า ฝนจะตกแล้ว พระอธิการนาคต้องเข้าไปนอนในบ้าน แต่ที่น่าแปลกตรงที่ว่า เตียงพ่อท่านคล้ายกลับไม่ถูกฝนแม้แต่น้อย งานบุญครั้งหนึ่ง ที่จัดให้มีการสรงน้ำทำบุญท่านที่วัดสวนขัน พอพิธีจะเริ่มขึ้นฝนก็เริ่มจะตก พ่อท่านคล้ายบอกว่า ไม่เป็นอะไรหรอก ฝนมันตกเป็นโรงมโนราห์ ตกลงว่าวันนั้นฝนได้ตกรอบๆวัด แต่ในวัดไม่มีฝนตกลงมาเลยเป็นที่อัศจรรย์ใจยิ่งนัก